หน้าแรก » บทความ » 15 อันดับค่าเงินที่แพงที่สุดในโลกในปี 2024

15 อันดับค่าเงินที่แพงที่สุดในโลกในปี 2024


โดย โค้ชเกรซ

อัพเดทเมื่อ 26 กันยายน 2024

ตรวจสอบความถูกต้องโดย Elite Group Academy

การจัดอันดับสกุลเงินที่แข็งแกร่งหรือค่าเงินที่แพงที่สุดในโลกสะท้อนถึงความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการระบาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบการเงินทั่วโลก ในปี 2024 เราเห็นการปรับตัวของสกุลเงินต่างๆ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในบทความนี้ Elite Group Academy จะนำเสนอ 15 อันดับสกุลเงินที่มีมูลค่าสูงสุด พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของแต่ละสกุลเงิน เช่น อัตราเงินเฟ้อ นโยบายทางการเงิน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงแนวโน้มการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของระบบการเงินโลกในปัจจุบัน

1. ดีนาร์คูเวต (KWD)

1. ดีนาร์คูเวต (KWD)

ดีนาร์คูเวต (KWD) เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกในปี 2567 KWD สามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างเสรีและมีมูลค่าสูงสุด คูเวตเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในตะวันออกกลาง มีทรัพยากรน้ำมันสำรองจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงิน นอกจากนี้ คูเวตยังมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติขนาดใหญ่ที่บริหารโดยหน่วยงานการลงทุนคูเวต (KIA) ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะเผชิญความท้าทายจากความผันผวนของราคาน้ำมัน แต่ KIA ได้วางแผนระยะยาวเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของดีนาร์คูเวต

ค่าเงิน: 1 KWD = 3.27 USD

2. ดีนาร์บาห์เรน (BHD)

2. ดีนาร์บาห์เรน (BHD)

ดีนาร์บาห์เรน (BHD) เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งอันดับสองของโลกในปี 2567 บาห์เรนเป็นประเทศเกาะเล็กๆ ในอ่าวเปอร์เซียที่มีเศรษฐกิจหลากหลาย แม้จะมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติน้อยกว่าเพื่อนบ้าน แต่บาห์เรนได้พัฒนาภาคการเงินและการธนาคารที่แข็งแกร่ง ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญในภูมิภาค นโยบายทางเศรษฐกิจที่เสรีและระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน BHD นอกจากนี้ การผูกค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยให้ BHD มีความผันผวนน้อยและน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติ

ค่าเงิน: 1 BHD = 2.65 USD

3. เรียลโอมาน (OMR)

3. เรียลโอมาน (OMR)

เรียลโอมาน (OMR) ครองอันดับที่สามในบรรดาสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก โอมานเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจในตะวันออกกลาง โดยพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโอมานได้ดำเนินนโยบายกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ การบริหารจัดการทางการเงินที่รอบคอบและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคช่วยให้ OMR รักษามูลค่าที่สูงไว้ได้

ค่าเงิน: 1 OMR = 2.60 USD

4. ดีนาร์จอร์แดน (JOD)

4. ดีนาร์จอร์แดน (JOD)

ดีนาร์จอร์แดน (JOD) เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งอันดับสี่ของโลก แม้จอร์แดนจะมีทรัพยากรธรรมชาติจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ประเทศนี้ได้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินที่รอบคอบและการพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก จอร์แดนได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยสนับสนุนค่าเงิน นอกจากนี้ การผูกค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐฯ ยังช่วยควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของ JOD

ค่าเงิน: 1 JOD = 1.41 USD

5. ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ (GBP)

5. ปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ (GBP)

ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) เป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันและยังคงเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แม้จะเผชิญความท้าทายจาก Brexit แต่สหราชอาณาจักรยังคงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ความแข็งแกร่งของ GBP มาจากเศรษฐกิจที่หลากหลาย ระบบการเงินที่พัฒนาแล้ว และนโยบายการเงินที่เข้มแข็งของธนาคารกลางอังกฤษ ปอนด์ยังคงเป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญสำหรับธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งช่วยรักษามูลค่าของมันไว้

ค่าเงิน: 1 GBP = 1.27 USD

6. ดอลลาร์เคย์แมน (KYD)

6. ดอลลาร์เคย์แมน (KYD)

ดอลลาร์หมูเกาะเคย์แมน (KYD) เป็นสกุลเงินของหมู่เกาะเคย์แมน ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ความแข็งแกร่งของ KYD มาจากการที่หมู่เกาะเคย์แมนเป็นศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่งที่สำคัญ มีระบบภาษีที่เอื้อประโยชน์ และมีเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายทางการเงินที่รอบคอบและการผูกค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วยรักษาความแข็งแกร่ง มูลค่าอัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมนได้รับการสนับสนุนจากสถานะของประเทศว่าเป็นหนึ่งในสวรรค์ทางภาษีสำหรับคนร่ำรวย

ค่าเงิน: 1 KYD = 1.20 USD

7. ฟรังก์สวิส (CHF)

 7.  ฟรังก์สวิส (CHF)

ฟรังก์สวิส (CHF) เป็นสกุลเงินที่มีชื่อเสียงด้านความมั่นคงและเสถียรภาพ สวิตเซอร์แลนด์มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพ และความเป็นกลางทางการเมือง ทำให้ CHF เป็นที่นิยมในฐานะสกุลเงินที่ปลอดภัยในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือการเมืองทั่วโลก นโยบายการเงินที่รอบคอบของธนาคารกลางสวิสช่วยควบคุมเงินเฟ้อและรักษาความแข็งแกร่งของฟรังก์สวิส (CHF)

ค่าเงิน: 1 CHF = 1.13 USD

8. ยูโร (EUR)

8. ยูโร (EUR)

ยูโร (EUR) เป็นสกุลเงินร่วมของสหภาพยุโรป และเป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญของโลก ความแข็งแกร่งของยูโรมาจากขนาดและความหลากหลายของเศรษฐกิจในยูโรโซน รวมถึงนโยบายการเงินที่รอบคอบของธนาคารกลางยุโรป แม้จะเผชิญความท้าทายจากวิกฤตหนี้ในยูโรโซนและ Brexit แต่ยูโรยังคงเป็นสกุลเงินที่สำคัญในการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน

เช็กอัตราปัจจุบันในตลาดฟอเร็กซ์ได้ที่นี้: EURUSD 

ค่าเงิน: 1 EUR = 1.09 USD

9. ดอลลาร์สหรัฐ (USD)

9. ดอลลาร์สหรัฐ (USD)

ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก ความแข็งแกร่งของ USD มาจากขนาดและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความเสถียรของระบบการเงิน และบทบาทของสหรัฐฯ ในเศรษฐกิจโลก นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) มีอิทธิพลอย่างมากต่อค่าเงิน USD และเศรษฐกิจโลก

ค่าเงิน: 1 USD = 1 USD

10. ดอลลาร์แคนาดา (CAD)

10. ดอลลาร์แคนาดา (CAD)

ดอลลาร์แคนาดา (CAD) เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งด้วยเศรษฐกิจที่หลากหลายและมั่นคงของแคนาดา ประเทศนี้มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ระบบการเงินที่แข็งแกร่ง และความสัมพันธ์ทางการค้าที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม CAD มักได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน เนื่องจากแคนาดาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่

ค่าเงิน: 1 CAD = 0.74 USD

11. ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

11. ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)

ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายในตลาดเงินตราต่างประเทศ ความแข็งแกร่งของ AUD มาจากเศรษฐกิจที่มั่นคงของออสเตรเลีย ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้นกับจีนและประเทศในเอเชีย อย่างไรก็ตาม AUD มักมีความผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

ค่าเงิน: 1 AUD = 0.67 USD

12. ลีลังกีบรูไน (BND)

12. ลีลังกีบรูไน (BND)

ลีลังกีบรูไน (BND) เป็นสกุลเงินของประเทศบรูไน ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ที่ร่ำรวยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความแข็งแกร่งของ BND มาจากความมั่งคั่งทางทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของประเทศ บรูไนมีนโยบายการเงินที่รอบคอบและการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดี ทำให้สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ BND ยังถูกผูกค่ากับดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเสถียรภาพให้กับสกุลเงินนี้

ค่าเงิน: 1 BND = 0.75 USD

13. ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD)

13. ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD)

ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) เป็นสกุลเงินของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของเอเชีย ความแข็งแกร่งของ SGD มาจากเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูง นโยบายการเงินที่เข้มงวด และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย สิงคโปร์มีนโยบายการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ยืดหยุ่น โดยอนุญาตให้ค่าเงิน SGD ผันแปรภายในช่วงที่กำหนดเทียบกับตะกร้าสกุลเงินของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ วิธีนี้ช่วยให้สิงคโปร์สามารถรักษาเสถียรภาพของราคาและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ค่าเงิน: 1 SGD = 0.75 USD

14. ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)

14. ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)

ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) หรือที่เรียกกันว่า “Kiwi dollar” เป็นสกุลเงินของประเทศนิวซีแลนด์ ความแข็งแกร่งของ NZD มาจากเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ การส่งออกสินค้าเกษตรที่แข็งแกร่ง และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เฟื่องฟู นิวซีแลนด์มีนโยบายการเงินที่โปร่งใสและเป็นอิสระ โดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพของราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม NZD มักมีความผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสภาวะเศรษฐกิจโลก

ค่าเงิน: 1 NZD = 0.62 USD

15. เชเกลอิสราเอล (ILS)

15. เชเกลอิสราเอล (ILS)

เชเกลอิสราเอล (ILS) เป็นสกุลเงินของประเทศอิสราเอล ความแข็งแกร่งของ ILS มาจากเศรษฐกิจที่มีนวัตกรรมสูงและหลากหลายของอิสราเอล โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและการวิจัยและพัฒนา อิสราเอลมีนโยบายการเงินที่รอบคอบ โดยธนาคารกลางอิสราเอลมุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพของราคาและการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อุตสาหกรรม high-tech และการส่งออกที่แข็งแกร่งยังช่วยสนับสนุนค่าเงิน ILS แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค

ค่าเงิน: 1 ILS = 0.27 USD

ความเชื่อมโยงของสกุลเงินแข็งค่ากับเศรษฐกิจโลก

สกุลเงินที่แข็งค่าทั้ง 15 อันดับนี้มีบทบาทสำคัญและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในหลายด้าน ดังนี้:

1. การค้าระหว่างประเทศ สกุลเงินที่แข็งค่ามีผลโดยตรงต่อการส่งออกและนำเข้า ประเทศที่มีสกุลเงินแข็งค่าจะมีอำนาจซื้อสูงในตลาดโลก ทำให้การนำเข้าถูกลง แต่ในขณะเดียวกัน สินค้าส่งออกจะมีราคาแพงขึ้นในตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออก

ตัวอย่าง: ความแข็งแกร่งของยูโร (EUR) มีผลต่อการส่งออกของสหภาพยุโรปไปยังตลาดโลก ในขณะที่ความแข็งแกร่งของดอลลาร์สหรัฐ (USD) มีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่มักซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์

2. การลงทุนระหว่างประเทศ สกุลเงินที่แข็งค่ามักดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนมองว่ามีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนน้อยกว่า นอกจากนี้ ประเทศที่มีสกุลเงินแข็งค่ายังสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่าง: ความแข็งแกร่งของฟรังก์สวิส (CHF) ทำให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญสำหรับการลงทุนทั่วโลก ในขณะที่ความแข็งแกร่งของดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) ช่วยให้สิงคโปร์สามารถลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ตลาดการเงินโลก สกุลเงินที่แข็งค่าหลายสกุลเป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญของโลก ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโลก การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของสกุลเงินเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกได้

ตัวอย่าง: การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) มักส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในค่าเงินยูโร (EUR) ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในยุโรปและประเทศคู่ค้า

4. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงินที่แข็งค่า โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐ มีผลโดยตรงต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ถูกกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ตัวอย่าง: ความแข็งแกร่งของดีนาร์คูเวต (KWD) และเรียลโอมาน (OMR) มีความเชื่อมโยงกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนพลังงานและการผลิตทั่วโลก

5. การท่องเที่ยวระหว่างประเทศ สกุลเงินที่แข็งค่ามีผลต่อการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยทำให้การเดินทางไปต่างประเทศของประชาชนในประเทศนั้นๆ มีความสามารถในการใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

ตัวอย่าง: ความแข็งแกร่งของปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) มีผลต่อการท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักร ในขณะที่ความแข็งแกร่งของดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) มีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

6. นโยบายการเงินโลก การเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของสกุลเงินที่แข็งค่าสามารถส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีการผูกค่าเงินหรือมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ใกล้ชิด

ตัวอย่าง: นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ส่งผลต่อค่าเงินยูโร (EUR) มีผลกระทบต่อนโยบายการเงินของประเทศในยุโรปตะวันออกและแอฟริกาที่มีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับสหภาพยุโรป

โดยสรุป สกุลเงินที่แข็งค่าทั้ง 15 อันดับนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลก ผ่านการค้า การลงทุน ตลาดการเงิน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การท่องเที่ยว และนโยบายการเงินระหว่างประเทศ การเข้าใจความเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักลงทุน และผู้ประกอบการที่ต้องการนำทางธุรกิจในเศรษฐกิจโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน