ภาพรวมเนื้อหา
Divergence ใน Forex คืออะไร? วิธีดูสัญญาณกลับตัวด้วยอินดิเคเตอร์ยอดนิยม
โดย โค้ชชิน
อัพเดทเมื่อ 23 มีนาคม 2025
ตรวจสอบความถูกต้องโดย Elite Group Academy
นักเทรดในตลาด Forex หลายคนคงเคยเจอสถานการณ์ที่ราคาของคู่สกุลเงินเคลื่อนไหวสวนทางกับความรู้สึก หรือแม้แต่สวนทางกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่คุณใช้อยู่ ซึ่งถ้ามองลึกลงไป นี่อาจเป็น “สัญญาณล่วงหน้า” ว่าตลาดกำลังจะกลับตัว สิ่งนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “Divergence” หรือชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า Price-Momentum Divergence
Divergence คืออะไร?

ฃDivergence คือ ภาวะที่ “ทิศทางของราคาสินทรัพย์” ไม่สอดคล้องกับ “ทิศทางของอินดิเคเตอร์” ที่ใช้วัดแรงโมเมนตัม เช่น RSI (Relative Strength Index) หรือ MACD (Moving Average Convergence Divergence) โดยหลักการคือ หากราคายังคงทำจุดสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวอินดิเคเตอร์กลับอ่อนแรงลงและทำจุดต่ำลง หรือในทางกลับกัน ก็เป็นสัญญาณว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นเริ่มไม่มีแรงส่ง ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัวของแนวโน้มได้
ประเภทของ Divergence
Divergence แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักที่เทรดเดอร์ควรรู้ ได้แก่ Regular Divergence และ Hidden Divergence ซึ่งแม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่มีความหมายและการใช้งานที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
Regular Divergence คือสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น หากราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่เริ่มเกิด divergence แบบขาลง อาจแปลว่าราคากำลังจะหยุดขึ้นและเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง ในทางกลับกัน ถ้าราคาอยู่ในขาลง แล้วเกิด divergence แบบขาขึ้น ก็มีโอกาสที่ราคาจะดีดกลับขึ้นมา
ในขณะที่ Hidden Divergence มักจะเป็นสัญญาณของการต่อเนื่องของแนวโน้ม ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์สายเทรนด์ โดย Hidden Divergence จะบอกเราว่า แม้ราคาจะมีการย่อตัวเล็กน้อย แต่แรงโมเมนตัมที่สะสมอยู่ยังสนับสนุนแนวโน้มเดิมอยู่ เช่น ราคาอาจย่อ แต่ MACD หรือ RSI กลับยกตัวสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาอาจจะขึ้นต่อหลังจากพักฐาน
การดู Divergence ร่วมกับอินดิเคเตอร์ยอดนิยม

นักเทรดมักเลือกใช้ RSI และ MACD เป็นเครื่องมือหลักในการหาสัญญาณ divergence ซึ่งทั้งสองตัวนี้มีวิธีการอ่านที่คล้ายกัน แต่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างกันเล็กน้อย
การดู Divergence ด้วย RSI นั้นจะเน้นไปที่การดูจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของเส้น RSI เปรียบเทียบกับจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของกราฟราคา หากราคาเกิด higher high (จุดสูงใหม่สูงกว่าเดิม) แต่ RSI กลับเกิด lower high (จุดสูงใหม่ต่ำกว่าเดิม) แสดงว่าเริ่มมีการสูญเสียแรงซื้อ และเป็น Regular Bearish Divergence ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะอ่อนแรง
ในทางกลับกัน หากราคาเกิด lower low (จุดต่ำใหม่ต่ำกว่าเดิม) แต่ RSI กลับเกิด higher low (จุดต่ำใหม่สูงขึ้น) นั่นคือ Regular Bullish Divergence ซึ่งมักเป็นสัญญาณกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น
ส่วนการใช้ MACD ในการดู Divergence นั้นจะให้ความสำคัญกับเส้น MACD และเส้น Signal Line โดยทั่วไป MACD จะมีความแม่นยำและมองภาพรวมได้กว้างกว่า RSI เหมาะกับนักเทรดที่เน้นแนวโน้มระยะกลางมากกว่าระยะสั้น เช่นเดียวกันกับ RSI ถ้าราคาและ MACD เคลื่อนไหวสวนทางกัน นั่นคือ Divergence ซึ่งอาจหมายถึงการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม ขึ้นอยู่กับประเภทของ divergence ที่ปรากฏ
ตัวอย่างจริงของการใช้งาน Divergence
สมมติว่าคุณดูกราฟคู่เงิน EUR/USD อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มขาขึ้น ราคาทำ higher high อย่างชัดเจน แต่เมื่อคุณดู RSI กลับพบว่าเส้น RSI กลับทำ lower high ลงมา นั่นคือ Regular Bearish Divergence ที่ชัดเจนมาก หากยืนยันด้วยการเกิดแท่งเทียนกลับตัว เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing บริเวณแนวต้าน ก็อาจเป็นจุดที่เทรดเดอร์ใช้พิจารณาเปิดออเดอร์ขาย (Sell)
ในอีกกรณี หากราคาของทองคำ (XAU/USD) กำลังอยู่ในช่วงพักตัวจากแนวโน้มขาขึ้น และราคาย่อทำ low ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม แต่ MACD ทำ higher low ขึ้นมา แสดงว่าการพักตัวนี้อาจจบแล้ว และทองคำอาจดีดตัวกลับขึ้นต่อในแนวโน้มเดิม ซึ่งนี่คือตัวอย่างของ Hidden Bullish Divergence ที่ใช้ได้ดีในการเทรดตามแนวโน้ม
บทสรุป
Divergence คือหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เทรดเดอร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพราะสามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนถึงการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อย่าง RSI และ MACD ที่ช่วยยืนยันแรงโมเมนตัมของราคาได้อย่างชัดเจน แม้ Divergence จะไม่ใช่สัญญาณที่ให้ความแม่นยำ 100% แต่หากใช้ร่วมกับการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน รูปแบบแท่งเทียน และการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ก็สามารถเป็นอาวุธลับของเทรดเดอร์ในการหาจุดเข้าออเดอร์ที่คุ้มค่าและปลอดภัยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หากคุณเป็นนักเทรดมือใหม่หรือกำลังพัฒนาเทคนิคการวิเคราะห์กราฟ Divergence คือสิ่งที่ควรเรียนรู้และฝึกสังเกตให้เชี่ยวชาญ เพราะมันอาจเป็นความต่างเพียงเล็กน้อยที่ทำให้คุณเข้าเทรดในจังหวะที่ถูกต้องได้มากกว่าคนอื่น