ภาพรวมเนื้อหา
Swift Code คืออะไร? พร้อมวิธีเช็คเลขรหัสธนาคาร
โดย โค้ชเกรซ
อัพเดทเมื่อ 26 กันยายน 2024
ตรวจสอบความถูกต้องโดย Elite Group Academy
ในโลกที่ธุรกิจกำลังแข่งขันและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษกิจไร้พรมแดนในโลกออนไลน์คือเทคโนโลยีทางการเงิน สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้คนเชื่อมต่อชำระ ทั้งซื้อและขาย กันในทุกแพลตฟอร์ม
รหัส SWIFT จึงได้กำเนิดขึ้นทั้งเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระเงินออนไลน์ การรักษาความปลอดภัย และช่วยให้ทุกธนาคารมีเครือข่ายตัวกลางในการรับรู้การดำเนินธุรกรรมการเงินที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก โดยวันนี้ Elite Group Academy จะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ Swift Code ว่าคืออะไร? พร้อมวิธีเช็คเลขรหัสธนาคาร
SWIFT Code คืออะไร?
SWIFT นั้นย่อมาจาก Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication ซึ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการออก “คำสั่งชำระเงิน” ให้กับธนาคารอีกแห่งหนึ่ง หรือระหว่างธนาคารกับสถาบันทางการเงินอีกแห่งหนึ่ง โดยมีการส่งหรัสยืนยันตัวตน BIC(Bank Identifier Codes) ที่กำลังสื่อสารได้ว่า ใคร? กำลังทำอะไร? ที่ไหน? และอย่างไร? เป็นต้น
SWIFT ยังเรียกได้ว่าเป็นสื่อกลางสำคัญสำหรับการสื่อสารระหว่างกันของธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ทุกๆ แห่ง เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์เป็นไปอย่างปลอดภัย รวดเร็ว และได้มาตรฐานเดียวกัน(IBAN)มากที่สุด
คุณอาจรู้จัก SWIFT ด้วยชื่ออื่นๆ ได้แก่
- ไอดี SWIFT
- รหัส BIC
- ISO 9362
- และอื่น ๆ
การระบุรหัส SWIFT Code
โดยทั่วไปแล้วการระบุหมายเลข SWIFT จะต้องเป็นตัวเลข 8-11 หลักซึ่งถูกเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา ดังนี้
- ชื่อธนาคาร (4 ตัวอักษร)
- ประเทศที่ตั้ง (2 ตัวอักษร)
- สำนักงานใหญ่ (2 หมายเลข/ตัวอักษร)
- หมายเลขสาขา (3 หมายเลข/ตัวอักษร)
การระบุรหัส SWIFT Code จำเป็นต้องปฎิบัติตามมาตรฐาน ISO 9362 ซึ่งในบางครั้งก็ถูกเรียกว่า มาตรฐานแบบ SWIFT ISO ที่มีการใช้ทั้งตัวอักษรและหมายเลขร่วมกัน
ความสำคัญของ SWIFT Code
รหัส SWIFT จะถูกบังคับให้กรอกเมื่อเกิดการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ทั้งการรับและฝากเงินทั่วไป การโอนเงินระหว่างบัญชีโดยมีผู้ให้บริการเป็นตัวกลาง และการทำธุรกรรมด้วยระบบ SEPA เป็นต้น
ตัวอย่างการใช้ เช่น การเลือกดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USDX) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมสกุลเงินของคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นคู่เปรียบเทียบในการลงทุน
หลักการทำงานของร SWIFT Code
วัตถุประสงค์หลักของ SWIFT ก็เพื่อเป็นช่องทางให้ธนาคารสื่อสารระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยที่ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลการชำระเงินระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ดี SWIFT นั้นถือเป็นเพียงตัวกลางที่แจ้งรหัสเป็นคำแนะนำจากธนาคารผู้ออก (ผู้ชำระเงิน) ไปยังธนาคารผู้ส่งเงิน (ผู้รับผลประโยชน์/ผู้รับเงิน) เพียงเท่านั้น
เพื่อให้การระบุสถานที่(ปลายทาง/ต้นทาง)ของการส่งเงินระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงชื่อธนาคารของผู้รับ ธนาคารของผู้ส่ง และสาขาธนาคารที่เงินไปถึง นอกจากธนาคารผู้ส่งและรับแล้ว การชำระเงิน SWIFT อาจต้องมีธนาคารตัวกลางด้วย อย่างไรก็ดี ในประเทศต่างๆ ย่อมมีกฎเกณฑ์ด้านการธนาคารที่แตกต่างกัน และบางครั้งบุคคลที่สามจำเป็นต้องเข้ามาดำเนินการเพื่อให้ธุรกรรมผ่านได้
เพื่อให้ระบบ SWIFT ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ธนาคารจะเปิดบัญชีระหว่างกัน เรียกว่าบัญชี Nostro Account และ Vostro Account (บัญชีเงินฝากที่ธนาคารต่างประเทศ)
Nostro และ Vostro Account
Nostro Account ถอดมาจากภาษาละตินคือบัญชีเงินฝากของเรา ที่สามารถจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งธนาคารในประเทศของเราฝากไว้กับธนาคารอื่นในต่างประเทศ ส่วนมากมักจะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่เรามีธุรกิจสัมพันธ์หรือเป็นธนาคารคู่ค้า หรือเป็นธนาคารตัวแทนของเราที่อยู่ในต่างประเทศ โดยนัยนี้บางครั้งอาจเรียกว่าบัญชีธนาคารตัวแทน(Correspondent Account) โดยบัญชี Nostro มักมีไว้เพื่อลดความซับซ้อนของการตั้งถิ่นฐานของการค้าและการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
สำหรับบัญชี Vostro นั้นถอดมาจากภาษาละตินที่แปลว่าบัญชีเงินฝากของคุณที่ธนาคารบันทึกไว้ ทั้งเงินและหนี้ค้างชำระที่ดูแลโดยธนาคารของบุคคลที่สาม(Third Party) ซึ่งโดยทั่วไปคือธนาคารอื่น แต่อาจเป็นได้ทั้งบริษัทหรือบุคคลธรรมดา
วิธีเช็ค SWIFT Code เลขรหัสธนาคาร
การตรวจสอบรหัส SWIFT Code ที่ถูกต้อง สามารถทำได้โดยเครื่องมือตรวจสอบ SWIFT Code Checker ที่อ้างอิงจากรหัส SWIFT Code ที่เปิดเผยได้และมีการใช้งานจริงกว่า 100,000 รหัสทั่วโลก เพียงคุณคัดลอดรหัส SWIFT ที่มีอยู่และวางลงในเครื่องมือตรวจสอบรหัส SWIFT Code Checker จะบอกว่ารหัสดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
ความแตกต่างระหว่าง SWIFT Code และ IBAN
SWIFT Code และ IBAN เป็นรหัสสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ แต่มีบทบาทและลักษณะที่แตกต่างกัน SWIFT Code เป็นรหัสที่ใช้ระบุธนาคารและสาขา มีความยาว 8-11 หลัก และใช้ทั่วโลก ในขณะที่ IBAN เป็นรหัสที่ระบุบัญชีธนาคารเฉพาะของผู้รับเงิน มีความยาวแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และใช้หลักในยุโรปและบางประเทศนอกยุโรป
ทั้งสองรหัสมักใช้ร่วมกันในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน โดย SWIFT Code ให้ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารโดยตรง ส่วน IBAN ให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงถึงบัญชีผู้รับ IBAN ยังมีระบบตรวจสอบความถูกต้องในตัว ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการทำธุรกรรม การใช้ทั้ง SWIFT Code และ IBAN ร่วมกันช่วยให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการควรตรวจสอบว่าต้องใช้รหัสใดบ้างสำหรับการทำธุรกรรมในแต่ละครั้ง เนื่องจากบางประเทศอาจใช้เพียงรหัสใดรหัสหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระบบการเงินของแต่ละประเทศ
ตัวอย่างการใช้งานจริงของ SWIFT Code
SWIFT Code มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ ดังตัวอย่างต่อไปนี้:
1. การโอนเงินระหว่างประเทศ: นาย ก ในประเทศไทยต้องการโอนเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐให้นาย ข ในสหรัฐอเมริกา นาย ก จะต้องระบุ SWIFT Code ของธนาคารของนาย ข เช่น BOFAUS3NXXX สำหรับธนาคาร Bank of America ในนิวยอร์ก พร้อมกับข้อมูลบัญชีอื่นๆ เพื่อให้การโอนเงินดำเนินไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
2. การชำระเงินค่าสินค้าระหว่างประเทศ: บริษัท A ในญี่ปุ่นสั่งซื้อวัตถุดิบจากบริษัท B ในเยอรมนี มูลค่า 50,000 ยูโร ในการชำระเงิน บริษัท A จะต้องใช้ SWIFT Code ของธนาคารของบริษัท B เช่น DEUTDEFFXXX สำหรับธนาคาร Deutsche Bank ในแฟรงก์เฟิร์ต เพื่อให้การชำระเงินถูกส่งไปยังบัญชีที่ถูกต้อง
3. การรับเงินเดือนจากบริษัทต่างประเทศ: นางสาว ค ทำงานให้บริษัทในสิงคโปร์แต่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย เธอต้องให้ SWIFT Code ของธนาคารในออสเตรเลียของเธอ เช่น ANZBAU3MXXX สำหรับธนาคาร ANZ Bank แก่ฝ่ายบุคคลของบริษัท เพื่อให้สามารถโอนเงินเดือนเข้าบัญชีของเธอได้โดยตรง
4. การรับเงินค่าเช่าจากผู้เช่าต่างประเทศ: นาย ง เป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์ในลอนดอนแต่อาศัยอยู่ในไทย เขาต้องให้ SWIFT Code ของธนาคารไทยของเขา เช่น BKKBTHBKXXX สำหรับธนาคารกรุงเทพ แก่ผู้เช่าชาวอังกฤษ เพื่อให้สามารถโอนค่าเช่ามายังบัญชีของเขาในไทยได้โดยตรง
ในทุกกรณีเหล่านี้ SWIFT Code ช่วยให้การระบุธนาคารและสาขาที่เกี่ยวข้องเป็นไปอย่างแม่นยำ ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น