ภาพรวมเนื้อหา
Hedging คืออะไร? วิธีใช้ในการป้องกันความเสี่ยง
โดย โค้ชชิน
อัพเดทเมื่อ 23 มีนาคม 2025
ตรวจสอบความถูกต้องโดย Elite Group Academy
การเทรดในตลาดการเงิน โดยเฉพาะ Forex มีความผันผวนสูงเป็นธรรมชาติ นักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึงมองหาวิธีจัดการความเสี่ยงเพื่อไม่ให้พอร์ตของตนเสียหายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด หนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลดี และได้รับการยอมรับในระดับสากลคือ “Hedging” หรือกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง ในบทความนี้ Elite Group Academy จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า Hedging คืออะไร และจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างไร
Hedging คืออะไร?

Hedging คือ กลยุทธ์ที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนหรือการเทรด โดยการเปิดสถานะที่มีทิศทางตรงข้ามกับสถานะเดิม เพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดจากความผันผวนของราคาในตลาด ในทางปฏิบัติ Hedging ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกำไรสูงสุด แต่มีไว้เพื่อ “จำกัดความเสียหาย” และ “รักษาเสถียรภาพของพอร์ต” โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไม่มีความแน่นอน หรือมีข่าวเศรษฐกิจสำคัญที่อาจส่งผลให้ราคาผันผวนรุนแรงในระยะสั้น
วิธีการทำ Hedging ในตลาด Forex
การใช้กลยุทธ์ Hedging ในตลาด Forex สามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป
1. Full Hedging (ล็อกกำไร/ขาดทุนแบบเต็มจำนวน)
เป็นการเปิดออเดอร์ Buy และ Sell พร้อมกันในคู่เงินเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิด Buy EUR/USD ที่ 1.1000 แล้วพบว่าตลาดเริ่มกลับตัวแรง คุณอาจเปิด Sell EUR/USD ที่ 1.1050 เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาย่อลง จุดเด่นของวิธีนี้คือสามารถควบคุมความเสียหายได้ดี และสามารถเลือกปิดออเดอร์ข้างใดข้างหนึ่งเมื่อตลาดมีทิศทางชัดเจน
2. Correlation Hedging (ใช้คู่เงินที่มีความสัมพันธ์กัน)
เป็นการเปิดออเดอร์ในคู่เงินที่มีความสัมพันธ์ทางสถิติ เช่น EUR/USD กับ USD/CHF ซึ่งมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกัน หากคุณถือ Buy EUR/USD และกังวลว่าราคาจะกลับตัว คุณสามารถเปิด Sell USD/CHF เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของค่าเงิน และสามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้
3. Multi-Asset Hedging (ใช้สินทรัพย์อื่นในการป้องกันความเสี่ยง)
กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักเทรดที่ติดตามตลาดหลากหลาย เช่น ทองคำ ดัชนีหุ้น หรือน้ำมัน โดยใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในการชดเชยความเคลื่อนไหวของค่าเงิน ตัวอย่างเช่น หากคุณถือ Sell USD/JPY และเห็นแนวโน้มว่า USD อ่อนค่า คุณอาจเปิด Buy XAU/USD เพราะทองคำมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ USD
ข้อดีและข้อควรระวังในการใช้ Hedging
การทำ Hedging มีข้อดีชัดเจนในด้านการควบคุมความเสี่ยง แต่หากใช้อย่างไม่เหมาะสมก็อาจนำมาซึ่งต้นทุนแฝงและโอกาสที่สูญเสียไป
ข้อดีของ Hedging:
- ช่วยลดความเสียหายจากการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดของราคา
- เสริมความมั่นคงให้พอร์ตโดยรวม
- ป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์เศรษฐกิจหรือข่าวสำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวัง:
- การถือออเดอร์ตรงข้ามพร้อมกันอาจมีต้นทุนจาก Swap สูง
- ต้องมีทักษะการบริหารจัดการออเดอร์อย่างรอบคอบ
- หากไม่ประเมิน Risk-Reward ให้ดี อาจทำให้เสียโอกาสในการทำกำไร
ควรใช้ Hedging เมื่อไหร่?
กลยุทธ์ Hedging ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอดเวลา แต่เหมาะกับสถานการณ์ที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ช่วงก่อนการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น NFP (Non-Farm Payrolls), การประชุมธนาคารกลาง หรือช่วงที่ตลาดมีความผันผวนผิดปกติจากเหตุการณ์โลก นักเทรดที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ Hedging มักจะใช้เครื่องมือนี้เพื่อ “รักษาเงินต้น” และ “ควบคุมความเสี่ยง” มากกว่าจะใช้เป็นเครื่องมือทำกำไรโดยตรง
Hedging คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่นักเทรดควรรู้จักและเข้าใจ หากใช้ได้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้พอร์ตมีความมั่นคงและอยู่รอดได้ในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน โดยสามารถเลือกใช้ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Full Hedging, Correlation Hedging หรือ Multi-Asset Hedging ซึ่งขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและความสามารถในการวิเคราะห์ตลาดของแต่ละคน
สิ่งสำคัญคือ Hedging ควรทำร่วมกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เช่น การตั้ง Stop Loss, การควบคุมขนาดล็อต และการประเมิน Risk-to-Reward อย่างต่อเนื่อง หากคุณต้องการเรียนรู้การใช้กลยุทธ์ Hedging อย่างมืออาชีพ Elite Group Academy พร้อมช่วยวางแผนระบบการเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำและยั่งยืน